ความรู้สึกของผมที่มีต่อธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ผมจะเขียนยาวมากๆ ดังนั้นรบกวนอ่านให้ละเอียดก่อน อย่าอ่านแบบข้ามๆ เพื่อให้เห็นสิ่งที่ผมต้องการ
จะสื่อได้ครบถ้วน 100% นะครับ ขอบพระคุณมากครับ

อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวเท่านั้น
ผมอายุ 40 ไม่ติดตามเรื่องการเมืองใดๆ มีเรื่องที่ติดตามอยู่เรื่องเดียวในปัจจุบัน
ก็คือเรื่องของ "รถยนต์" ที่เหมือนเป็น hobby หลัก
เวลาทั้งหมดผม full time ไปที่ลูกที่ยังอยู่ในวัยอนุบาลเท่านั้น
พลอยทำให้ชีวิตตัดออกจากทีวีไปด้วย

ถ้านึกย้อนกลับไป ผมเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง 
แต่ในตอนแรกยังไม่มีรถขับ ดังนั้นก็อาจจะมองว่าเป็นฐานะกลางๆ ที่ค่อนไปล่างๆ ก็ได้อยู่เหมือนกัน

การเดินถนนสมัยเป็นเด็กนักเรียนเป็นเรื่องที่ปกติ และก็ได้เห็นสภาพแวดล้อมต่างๆ
ที่ตัวเราก็รู้สึกว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ได้เห็นคนขอทาน รถเมล์เก่า ความสกปรก
เจออากาศที่หายใจให้เต็มปอดไม่ได้ การเดินทางที่ต้องระวังรถราให้มากที่สุดเพราะมีทางเดินที่น่ากลัว
ได้เห็นบ้านของคนที่จนมาก จนถึงมากที่สุด ได้เห็นคนมากมากที่ต้องการให้คนอื่นสงเคราะห์
ซึ่งนี่ผมอยู่ในย่าน "สุขุมวิท" นะครับ ถ้าจะให้เจาะจง ผมอยู่สุขุมวิท 39 ก่อนที่จะเริ่มมีชาวญี่ปุ่น
เข้ามาอยู่จนเหมือนคนญี่ปุ่นต่อคนไทย 50/50 แบบในปัจจุบัน 

สภาพดังกล่าวก็ยังคงเป็นแบบนั้นมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ซึ่งผมจะเริ่มเดินทาง
ไปแถวลาดพร้าว เพื่อไปเรียนที่บดินทร หลังจากจบประถมในโรงเรียนแถวๆ สุขุมวิทแล้ว
จึงเป็นการเดินทางไกล แม้ว่าตอนเช้าแม่จะเอารถ Sunny (รุ่น B11 เกียร์ธรรมดา) ไปส่งหน้าโรงเรียน
แต่ขากลับก็ต้องกลับเองเพราะแม่ทำงานอยู่แถวเส้นวิภาวดีรังสิตซึ่งไกลมาก 

ผมจึงค่อนข้างเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่บนถนนมากตั้งแต่เด็ก ได้เห็นสภาพบรรยากาศ
ต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์เยอะ ถ้าจะได้เห็นอะไรที่สวยงาม ก็จะเป็นในห้างสรรพสินค้าเท่านั้นเป็นส่วนใหญ่

รถเมล์คือศูนย์รวมของคนทุกประเภท และทุกวัยที่อาจจะไม่มีรถเพราะไม่ต้องการใช้รถ แต่คนส่วนใหญ่
คือคนจนที่ต้องใช้บริการรถสาธารณะ ซึ่งทำให้ผมเห็นภาพต่างๆ ของคนในรถเมล์ทุกๆ วัน
ในช่วงวัยรุ่นแม้เวลาส่วนใหญ่ของเด็กผู้ชายพยายามจะมองหาเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกันที่สวยน่ารัก
แต่ยังไงก็ตาม ภาพที่ไม่สวยงามของบรรยากาศ สภาพชีวิตผู้คน และคนที่มีความเหนื่อยยากในชีวิต
ยังโผล่มาให้เห็นทุกๆ วัน อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งนี่ยังไม่นับข่าวจากใน นสพ. ที่สะท้อนภาพที่แท้จริง
ของสังคมและประเทศให้เห็น แม้ว่าผมเป็นเด็ก แต่ผมก็รู้แล้วครับ ว่าการมีชีวิตอยู่ให้ได้นั้น
เราจะต้องเรียนเก่ง และหาเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อให้มีชีวิตที่สุขสบายให้ได้ 

ในสมัยนั้นภาพที่ทำให้เห็นว่าสภาพที่อยู่ของเราแย่ชัดเจนมากขึ้นสำหรับเด็กในตอนนั้นก็คือ ไม่ว่าจะมาจาก
ข่าวต่างประเทศหรือจากภาพในหนังตะวันตก หรือจากหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นรายสัปดาห์ และจาก
สินค้า นวัตรกรรม และเทคโนโลยีต่างๆ ที่หลั่งไหลมาจากประเทศเหล่านั้น ที่เราเห็นจากห้างสรรพสินค้า
ทั้งหมดมันทำให้เราเห็นว่า คนในประเทศกำลังเหนื่อย แล้วยิ่งเห็นข่าวเกี่ยวกับความยากลำบากของ
ชาวนา ชาวไร่ ชาวบ้าน เกษตรกร อยู่ตลอด ที่ต้องการการสงเคราะห์ความช่วยเหลือจากรัฐบาลทุกปี
ก็ยิ่งตอกย้ำว่า กำลังมีคนที่ลำบากมากๆ อยู่ที่นี่ แม้ว่าผมจะไม่ได้ไปต่างจังหวังเลย แต่ผมรับรู้ถึงภาพ
ต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งนั่นเป็นสมัยมัธยม 

ผมซึ่งไม่ได้ติดตามข่าวการเมืองใดๆ และมีความรู้สึกอิจฉาเหมือนๆ กับคนทั่วไป ที่ได้ยินเรื่องของคนอื่น
ที่ได้ไปเที่ยวนอก นั่นไม่ใช่เพราะผมเกลียดชังประเทศตัวเอง แต่จากภาพต่างๆ ทำให้สมองของเรา

มันสร้างภาพให้เห็นโดยอัตโนมัติว่า มันคงจะดีกว่าถ้าได้ไปเที่ยวในประเทศที่ทันสมัยเหล่านั้น 
ผมคิดเพียงแค่นั้นเท่านั้น จนกระทั่ง เริ่มมีเรื่องของเพื่อนสนิทที่โรงเรียนคนหนึ่งที่ย้ายไปอยู่แคนาดาทั้งครอบครัว
และก็มีเรื่องของพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องที่ย้ายไปอยู่อเมริกาแล้วไม่ยอมกลับมา แล้วก็มาสู่ครอบครัวของญาติฝั่ง
แม่ของพี่สาวที่ย้ายไปอเมริกาทั้งตระกูล ซึ่งผมในตอนนั้นไม่เข้าใจว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ แล้วทำไมถึงต้องทำ
ถึงขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ก็เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างดีทุกคน ความสงสัยนั้นเกิดขึ้นสมัยช่วงอายุ 15 - 20 ผมจำไม่ได้แน่นอนนัก
แต่ผมไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะทำแบบนั้นบ้าง ผมรู้สึกว่ามันน่ากลัวที่จะต้องทำขนาดนั้น

จนกระทั่งปีที่แล้วในวัย 40 ที่ลูกทั้งสองของผมกำลังอยู่ชั้นอนุบาล ผมเริ่มรู้สึกขึ้นมาเองว่า
"ถ้าได้พาพวกเขาไปอยู่สภาพแวดล้อมที่ดีๆ ก็ดีนะ"
โดยที่ไม่มีเรื่องของการเมืองใดๆ มาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น เพราะผมไม่ได้ติดตามเรื่องการเมือง
ผมอาจจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องเสื้อเหลืองเสื้อแดงบ้าง จากการมองเห็นลักษณะพฤติกรรมที่
แสดงออกมาของพวกเขา และมีทัศนคติส่วนตัวต่อนักการเมือง ทหาร ตำรวจ บ้างจากการมองเห็น
ลักษณะพฤติกรรมของพวกเขา ซึ่งโดยรวม ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ตาม ผมไม่ชอบเท่าไหร่ อยากจะสรุป
สั้นๆ ด้วยประโยคที่ส่วนตัวคุ้นเคยคือ "ไม่ว่าสิ่งไหนๆ ก็ดูไม่ศิวิไลซ์นัก" 

จริงๆ แล้ว คำว่าไม่ศิวิไลซ์เลยอาจจะใช้ไม่ได้กับคนที่มีฐานะ ไปถึงคนที่รวย ไปถึงคนที่รวยมาก
เพราะประเทศไทยจริงๆ แล้วเป็นประเทศที่อยู่แล้วสบายมากที่สุดในโลก ถ้าหากเรามีอะไรที่
privilege สักนิดหนึ่ง ซึ่งผมพูดโดยมองจากการเข้าถึงเทคโนโลยี การเข้าถึงการออกแบบ ที่อยู่อาศัย
การเข้าถึงวิชาความรู้ การเข้าถึงความสะดวกสบาย การเข้าถึงอาหารทุกรูปแบบและหลากหลาย
สินค้า บริการและผลิตภัณฑ์ทุกๆ อย่างและอื่นๆ ที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้ทั้งหมด อาจจะเกือบๆ 100%
เลยก็ว่าได้ ซึ่งทำให้ผมได้ยินคนที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งและเป็นที่นับถือของหลายๆ คนพูดว่า 
"คนรวยนั้นจะอยู่ประเทศไทยได้สบายที่สุดในโลก"

ในขณะที่ภาพของคนยากคนจน คนที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา ขอทาน คนยากไร้ และการสงเคราะห์
ผู้ตกยาก คนไร้บ้าน ความเดือดร้อนของอาชีพเกษตรกร เด็กเร่ร่อน และการทารุณกรรม ยังคงมีให้เห็น
ในข่าวทุกๆ สื่อมาโดยตลอด รวมไปถึงความเสื่อมของจริยธรรม ซึ่งสังคมพยายามจะโทษไปที่การเข้ามา
ของวัฒนธรรมตะวันตก อย่างไม่เห็นความเกี่ยวโยงที่แน่ชัดนัก 

โดยสรุปทั้งหมดจึงทำให้เห็นภาพของสังคมที่กำลัง breaking apart หรือกำลังแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
ไม่ต้องพูดถึงการพัฒนาประเทศ หรือวิชั่นวิสัยทัศน์ข้างหน้า ซึ่งถ้าเราเอาสภาพแบบนี้ไปเปรียบเทียบ
กับประเทศที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้วก็คงจะดูดีกว่า แต่ถ้าหากเอาไปเปรียบเทียบกับประเทศที่ยังตามหลังเรา
เมื่อ 40 ปีที่แล้ว แต่ในปัจจุบันเขาก้าวข้ามเราไปแล้ว แล้วก็ยังไปข้างหน้ามากกว่าขึ้นเรื่อยๆ ประเทศของเรา
น่าจะกำลังมีปัญหาแน่ๆ

ซึ่งนี่ผมยังไม่ได้พูดถึงเรื่องของการเมืองแม้แต่น้อย

ถ้าพูดถึงเรื่องของ "สไตล์" จากที่ผมติดตามข่าวสารบันเทิง และยานยนตร์ ประเทศของเราดูจะมีหัวที่
นำประเทศอื่นๆ ด้วยซ้ำ และออกจะตามติดชาติที่พัฒนาแล้วไปติดๆ แต่นั่นก็อาจจะเป็นภาพสะท้อนที่มาจาก
กลุ่มคนที่เข้าถึงโอกาสได้มากกว่า หรือกลุ่มชนชั้นกลางไปจนถึงชนชั้นนำ เพราะเราจะเห็นภาพที่ตรงกันข้าม
เมื่อเราเห็นหนังหรือละครหรือโฆษณาจากผู้ผลิตที่เน้นคนกลุ่มใหญ่ทั่วไป หรือที่เราเรียกว่า "ชาวบ้าน" ซึ่งคำว่าชาวบ้าน
ในประเทศเรา กับคำว่าชาวบ้านที่อยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีบริบทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะคำว่า
ชาวบ้านในสื่อของเรา ผมรู้สึกว่าจะเกี่ยวพันธ์กับคำว่า "รากหญ้า" ซึ่งเป็นศัพท์ที่ผมได้ยินพร้อมๆ หลังจากการ
ทะเลาะกันครั้งใหญ่ทางการเมืองในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา  

นี่เป็นความคิดเพียงแค่บางส่วนที่ผมพอจะนึกถึงภาพรวมแบบกว้างๆ ได้ อาจจะมีตกหล่น อาจจะมีอธิบายไม่เคลียร์
หรืออธิบายไปแล้ว แต่ความที่เขียนยาว ก็อาจทำให้คนอ่านข้ามๆ จนเข้าใจไม่เคลียร์ 

เข้ามาสู่เรื่องการมาของธนาธร

การไม่ติดตามข่าวสารการเมืองมากๆ แต่แค่เพียงรับรู้รับทราบ อาจเป็นข้อดีที่จะทำให้ไม่รู้สึกอินไปกับฝั่งใดฝั่ง
หนึ่งมากจนเกินไป แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่องอะไรใดๆ พอเริ่มมีลูกเล็ก ก็อยากให้เขาได้อยู่ในโลกที่ยอดเยี่ยมใบนี้
แต่ก็ทำได้แค่ตามโอกาส กำลังทรัพย์ และความสามารถที่เราจะมี ซึ่งคนทุกๆ คน ตามสัญชาติญาณแล้วก็จะ
ให้ลูกได้ไปอยู่ในสถานที่ๆ ดีที่สุด ถ้ารวยมาก การเข้าโรงเรียนอินเตอร์ค่าเทอมหลายแสน กับการไปเรียนเมืองนอก
ที่มีค่าใช้จ่ายปีละหลายๆ ล้าน เป็นเรื่องขี้หมูมาก และส่วนใหญ่ก็จะทำแบบนั้น อาจจะมีบ้างที่อยากให้ลูกสู้ด้านวิชาการ
ในโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังต่างๆ แต่ทั้งหมดก็ต้องมีกำลังเวลาและกำลังทรัพย์ บวกกับความรู้ความสามารถในการเลี้ยงดูของพ่อแม่เอง
ถึงจะทำเรื่องต่างๆ ได้อย่างใจฝัน

ในฐานะของคนที่ไม่ได้ติดตามการเมืองมาตลอด นี่คือความคิดส่วนตัวของผมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไม่นับยุคทักษิณ

เรื่องพรรคการเมืองผิดพลาดกับนโยบายจำนำข้าว : ผมคิดว่าผิดแน่นอน แต่ไม่ใช่เพราะการทุจริต แต่เป็นความไร้ความสามารถ
นโยบายนี้ที่มาจากนายกทักษิณ ทำให้เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้ฉลาดอย่างที่ใครๆ คิด เพราะแผนทั้งล้มเหลวและทำให้เกิด
ความเสียหาย การขาดทุน และย้อนกลับไปทำให้พรรคเสียหายอีกด้วย ซึ่งน่าผิดหวัง

เรื่องความผิดของนายกยิ่งลักษณ์เรื่องจำนำข้าว : ผมคิดว่าเธอไม่ได้ผิดเรื่องทุจริตใดๆ เลย แต่ผมคิดว่าแผนการเป็นแผน
ที่หละหลวมเกินไป ขาดวัสัยทัศน์และความรอบคอบของคนที่คิดแผนนี้ขึ้นมา จนทำให้การกอบโกยเกิดขึ้นมาทั้งระบบ
อย่างน่าสยดสยองที่สุด มันเป็นเรื่องที่น่าประณาม และเรายังจะเชื่อถืออะไรได้อีกจากพรรคที่เรียกว่าอยู่ในกลุ่มหัวก้าวหน้า
แต่ว่าการตัดสินว่ายิ่งลักษณ์ผิดและทุจริตนั้น เป็นเรื่องที่น่าตลกอย่างมาก มันไม่ได้มีอะไรที่จะเกี่ยวข้องกันได้เลยระหว่าง
โรงสีที่ทุจริตกับนายก หรือโรงสีและข้าราชการทั้งหมดที่ทุจริตได้มีการโอนเงินเข้าบัญชี รัฐมนตรีหรือนายก ซึ่งมันไม่มีอะไร
ที่บอกได้อย่างชัดเจนเลยเหมือนกับกรณีที่ดินรัชดาของทักษิณ แต่มันเหมือนกับการเผลอไปกดเปิดประตูแห่งการโกงกิน
ของระบบทั้งหมดมากกว่า ซึ่งผมมองว่านี่คือภาพสะท้อนของความแย่ของระบบ และคุณภาพของคนในประเทศเสียมากกว่า

เรื่องของการเลื่อนการเลือกตั้งไปบ้าง : ผมเห็นว่า ถึงจะเลื่อนไปสักหน่อย ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ยังไงๆ ก็ต้องมีเลือกตั้งอยู่ดี
เพราะรัฐบาลสัญญาไว้ชัดเจนแล้ว และผมไม่เข้าใจว่าการออกมาประท้วงของฝ่ายต่างๆ นั้นจะออกมาเพื่ออะไร ในเมื่อก็มีกฎหมาย
คาดโทษอยู่ และทำให้ติดคุกได้ คนที่ทำให้ผมจำชื่อได้ เพราะชื่อเขาค่อนข้างฟังดูคล้องจองเป็น ร.เรือ ร.เรือ ก็คือ รังสิมันต์ โรม
ซึ่งผมไม่มีทางที่จะทำแบบเขาแน่ๆ ในใจลึกๆ ถ้าจะให้ผมพิมพ์แสดงออกมาตรงๆ ก็คือ "ทำไมออกมาทำเรื่องอะไรโง่ๆ แบบนี้?"
ฟ้าเป็นพยานได้ว่า ทุกสิ่งที่ผมเขียน ผมตั้งใจเขียนตรงมากๆ แต่แค่ผมไม่ใช่คนที่ใช้คำพูด "กู " เวลาที่คิดอยู่ในหัวเลยเท่านั้น 

สำหรับการทำงานของพลเอกประยุทธนั้น สำหรับผมที่ชินชามาแล้วกับการรัฐประหาร ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นความเลวร้าย
ใดๆ ที่จะมีทหารออกมาปฎิวัติ แต่โดยส่วนตัวก็ไม่ชอบที่จะอยู่ใกล้ๆ ทหารนัก จากความกลัวที่ฝังใจมาตั้งแต่เด็ก ที่ได้เจอ
มากับการฝึก รด. ซึ่งเด็กนักเรียนชายทุกคนต้องกลัวครูฝึกอยู่แล้วลึกๆ เพราะเป็นการเรียนรู้ถึงการอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา
อาจจะมีบ้างที่ไม่รู้สึกแบบนั้น แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่า การฝึกให้ทำตามกฎระเบียบเหมือนพ่อแม่ที่สอนลูกด้วยการอธิบายให้ลูกเข้าใจ
นั้นแตกต่างจากการฝึกให้ทำตามกฎระเบียบของทหาร ที่ต้องทำให้เกิดระเบียบตามลำดับชั้นเป็นสำคัญ และมีการลงโทษเพื่อ
ให้มีวินัยเป็นแกนหลักในการทำให้ทหารเกิดการเรียนรู้ ดังนั้นจึงเป็นวิธีที่ทำให้เกิดความกลัวโดยธรรมชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งกับคนที่มีลักษณะความเป็นเสรีในตัวเองสูง การบังคับให้เป็น รด.ตามหน้าที่และบทบาทของพลเมืองนั้น จึงเป็นการ
ฝืนธรรมชาติและสัญชาติญาณของสิ่งมีชีวิตอย่างมาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่